โดยกลุ่มลูกค้า Ultra-Luxury ส่วนใหญ่เป็นนักธุรกิจ เจ้าของกิจการ และนักลงทุน มีที่ดินเปล่า และต้องการสร้างบ้านขนาดใหญ่ ตั้งแต่ 1,000 ตร.ม. มูลค่าตั้งแต่ 50–100 ล้านบาทขึ้นไป ที่มีการออกแบบเป็นเอกลักษณ์ และเชื่อมโยงความเป็นตัวตนได้อย่างชัดเจน ไม่ซ้ำใคร พร้อมกับมีความคาดหวังสูงในความประณีต และคุณภาพในทุกมิติ ทั้งในด้านโครงสร้าง สถาปัตยกรรม และบริการครบวงจร
“Ultra-Luxury จะเป็นตลาดใหม่ที่เต็มไปด้วยโอกาส และเข้ามาเสริมความแข็งแกร่งให้กับ ดับบลิว เฮ้าส์ ในภาพรวม จากเดิมที่มีฐานลูกค้าหลักในกลุ่ม 15 ล้านบาทขึ้นไป ซึ่งเปิดให้บริการครอบคลุมพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑลเป็นหลัก” นายเจตน์ กล่าว
ตอกย้ำ Lifestyle Architect ในงานสถาปนิก’68
นายเจตน์ กล่าวว่า ความสำเร็จจากการเข้าร่วมงานสถาปนิกเป็นครั้งแรกในปี 2567 ที่ผ่านมา “ดับบลิว เฮ้าส์” ได้รับการตอบรับที่ดีมากจากลูกค้าที่เปิดใจ พร้อมนัดหมายออกแบบ และสั่งจองสร้างบ้านเป็นจำนวนหลายหลัง จึงต่อยอดความสำเร็จเข้าร่วมงานสถาปนิก’68 เป็นปีที่สอง และนับเป็นก้าวสำคัญของการสะท้อนจุดยืนในฐานะ Lifestyle Architect ผู้สร้างบ้านที่เป็นมากกว่าที่อยู่อาศัย แต่คือพื้นที่ชีวิต
สำหรับในปีนี้ บริษัทฯ มีเป้าหมายเพิ่มการรับรู้แบรนด์ “ดับบลิว เฮ้าส์” ในกลุ่มบ้านหรูระดับ Ultra-Luxury ที่ต้องการมาตรฐานสูงสุดในการออกแบบและก่อสร้าง, วางแผนการเจรจานัดหมายลูกค้าใหม่ไม่ต่ำกว่า 20 รายภายในงาน และตั้งเป้ายอดจองสร้างบ้านอย่างน้อย 3 หลังภายหลังจากที่งานจบลง และการเปิดตัวแบบบ้านใหม่ พร้อมได้รับการตอบรับจากกลุ่มเป้าหมายโดยตรง
ภาพรวมที่จะเกิดขึ้นในงานสถาปนิก’68 จึงเป็นการนำเสนอแนวคิดใหม่ ๆ และการออกแบบบ้านที่เชื่อมโยงตัวตนของลูกค้าได้อย่างลึกซึ้ง เพื่อการสร้างแบรนด์ “ดับบลิว เฮ้าส์” (W House) ให้เป็นที่จดจำ ทั้งด้านคุณภาพงานก่อสร้างตามมาตรฐานสากล ศิลปะและการออกแบบบ้านโมเดิร์นหรูที่ตอบสนองไลฟ์สไตล์ของคนยุคใหม่ และบริการที่ครบวงจร พร้อมส่งมอบประสบการณ์และคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับลูกค้าที่ปลูกสร้างบ้าน
เปิดตัวบ้านซีรีส์ใหม่ ‘THE WORLD’ งานสถาปนิก’68
ไฮไลต์ที่จะเกิดขึ้นในงานสถาปนิก’68 นายเจตน์ กล่าวว่า “ดับบลิว เฮ้าส์” มาพร้อมกับโซน Interactive เน้นสร้างพื้นที่การสนทนาระหว่างลูกค้ากับทีมออกแบบตัวจริง พร้อมเปิดตัวคฤหาสน์ 6 หลัง จาก 6 แบบบ้านในซีรีส์ใหม่ “THE WORLD” เป็นครั้งแรก ได้แก่ THE MOON, THE WIND, THE FLAME , THE OCEAN, THE FOREST และ THE SUN ที่ออกแบบมาเพื่อกลุ่มลูกค้า Ultra-Luxury โดยเฉพาะ ภายใต้แนวคิด “More is More” หมายถึงการออกแบบที่กล้าหาญ โดดเด่น และแสดงตัวตนของเจ้าของบ้านได้ชัดเจน ทั้งในมิติของแรงบันดาลใจ รายละเอียด และคุณค่าที่มากขึ้นด้านดีไซน์ วัสดุ และฟังก์ชันการใช้งาน